เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ หมวกนิรภัย (Protective Helmet) และวิธีการบำรุงรักษา
หมวกนิรภัย (Protective helmet) หมายถึง หมวกที่ออกแบบเพื่อป้องกันศีรษะของผู้สวมใส่จากการตกกระแทก โดยอาจเพิ่มเติมส่วนป้องกันอื่นๆ ด้วยก็ได้ ซึ่งในที่นี้ครอบคลุมเฉพาะหมวกนิรภัยที่กันกระแทกจากด้านบน ใช้สำหรับป้องกันศีรษะจากการตกกระแทกของเครื่องมือขนาดเล็ก วัสดุขนาดเล็ก เช่น ไม้ชิ้นเล็ก สลักเกลียว แป้นเกลียว หมุดย้ำ (rivet) เป็นต้น ประกายไฟ (spark) รวมทั้งป้องกันอันตรายจากการช็อกไฟฟ้า (electric shock) ไม่ครอบคลุมหมวกนิรภัยสำหรับงานป้องกันอัคคีภัย หรือที่เราเรียกกันโดยทั่วไปว่าหมวกแข็ง
ชนิดของ หมวกนิรภัย ตามมาตรฐาน มอก.
ชนิดของหมวกนิรภัยตามมาตรฐาน มอก. สามารถแบ่งตามการใช้งานเป็น 3 ชนิด ได้แก่
- ชนิด E (electrical) หมายถึง หมวกนิรภัยที่ใช้ลดแรงกระแทกของวัตถุ และลดอันตรายที่อาจเกิดจากการสัมผัสกับตัวนำไฟฟ้าแรงดันสูง ทนแรงดันไฟฟ้าทดสอบ 20,000 โวลต์
- ชนิด G (general) หมายถึง หมวกนิรภัยที่ใช้เพื่อลดแรงกระแทกของวัตถุ และลดอันตรายที่อาจเกิดจากการสัมผัสกับตัวนำไฟฟ้าแรงดันต่ำ ทนแรงดันไฟฟ้าทดสอบ 2,200 โวลต์
- ชนิด C (conductive) หมายถึง หมวกนิรภัยที่ใช้เพื่อลดแรงกระแทกของวัตถุเท่านั้น
หมวกนิรภัยตามมาตรฐาน มอก. จะต้องมีการแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน ตำแหน่งและขนาด โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ให้แสดงเครื่องหมายมาตรฐานไว้ที่ผลิตภัณฑ์ และสิ่งบรรจุหีบห่อด้วยก็ได้
- ตำแหน่งของเครื่องหมายมาตรฐานอยู่ที่ด้านหน้าหรือด้านข้างหรือด้านหลังของผลิตภัณฑ์
- ขนาดของเครื่องหมายต้องเหมาะสมกับขนาดของผลิตภัณฑ์ และไม่น้อยกว่า 10 มิลลิเมตร ขนาดความสูงของตัวอักษรไม่น้อยกว่า 2 มิลลิเมตร
- ให้แสดงข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (คิวอาร์โค้ด) ไว้ที่บริเวณเครื่องหมายมาตรฐาน และมีขนาดไม่น้อยกว่า 10 มิลลิเมตร
หมวกนิรภัยนอกจากมาตรฐานมอก. แล้วยังมีมาตรฐานอื่นที่เป็นที่ยอมรับสำหรับหมวกนิรภัยได้แก่
- ANSI/ISEA Z89.1
- OSHA Standard
- EN Standard
- CSA Z94.1
ส่วนประกอบของหมวกนิรภัย
หมวกนิรภัย 1 ใบ ประกอบด้วย
- เปลือกหมวก ต้องมีผิวเรียบเกลี้ยง ปราศจากเสี้ยน สันแหลมคม ไม่แตก และรอยร้าว หนักไม่เกิน 440 กรัม ไม่ติดไฟ หากติดไฟต้องดับได้เองภายใน 5 วินาที
- โครงแขวน
- สายรัดศีรษะ ต้องปรับเส้นรอบวงได้ไม่น้อยกว่า 13 ขนาด ตั้งแต่ 520 มิลลิเมตร ถึง 640 มิลลิเมตร
- สายรัดคาง ต้องกว้างไม่น้อยกว่า 13 มิลลิเมตร
- ปีกหมวกหรือกะบังหมวก
แต่ละส่วนประกอบต้องได้รับการทดสอบตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งในที่นี้อ้างอิงตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
ข้อควรระวังเมื่อสวมหมวกนิรภัย
เมื่อต้องสวมหมวกนิรภัย สิ่งสำคัญคือ ต้องปฏิบัติตามข้อควรระวังต่อไปนี้เพื่อให้แน่ใจว่าหมวกนิรภัย สามารถป้องกันอันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ตรวจสอบหมวกนิรภัยก่อนการใช้งานทุกครั้ง หากพบรอยแตก รอยบุบ หรือร่องรอยความเสียหายอื่นๆ ห้ามใช้งานเด็ดขาด
- สวมหมวกนิรภัยทุกครั้งโดยปรับสายรัดให้เหมาะสม
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหมวกนิรภัยพอดีและสวมใส่สบาย หมวกนิรภัยที่หลวมหรือคับเกินไปอาจไม่สามารถป้องกันอันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ห้ามสวมหมวกนิรภัยกลับด้านหรือคว่ำลง เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก
- ห้ามติดสิ่งของใดๆ เข้ากับหมวกนิรภัยที่ไม่ได้รับการรับรองจากผู้ผลิต เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง
- ห้ามสวมหมวกนิรภัยทับฮู้ดหรืออุปกรณ์คลุมศีรษะอื่นๆ เนื่องจากทำให้ความพอดีและลดประสิทธิภาพของหมวกนิรภัยลดลง
- เปลี่ยนใหม่หากชำรุดหรือหมดอายุการใช้งาน
การบำรุงรักษา หมวกนิรภัย
การบำรุงรักษาหมวกนิรภัยอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าหมวกนิรภัยยังคงสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ทำความสะอาดหมวกนิรภัยเป็นประจำด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ และน้ำเปล่า หลีกเลี่ยงการใช้ตัวทำละลายหรือสารเคมีที่รุนแรง ซึ่งอาจทำให้เปลือกหมวกนิรภัยเสื่อมสภาพได้
- เก็บหมวกนิรภัยในที่แห้งและเย็นเมื่อไม่ใช้งาน หลีกเลี่ยงการให้หมวกนิรภัยสัมผัสกับอุณหภูมิที่ร้อนจัดความชื้น หรือแสงแดดโดยตรง ซึ่งจะทำให้วัสดุเสื่อมสภาพเมื่อเวลาผ่านไป
- เปลี่ยนหมวกนิรภัยหากได้รับแรงกระแทก แม้ว่าจะไม่เห็นความเสียหายก็ตาม ผลกระทบอาจทำให้หมวกนิรภัยมีความสามารถในป้องกันลดลง
- เปลี่ยนหมวกนิรภัยตามที่ผู้ผลิตกำหนดหรือหากได้รับความเสียหาย
- ห้ามดัดแปลงหรือเพิ่มเติมใดๆ กับหมวกนิรภัย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้ผลิตเป็นการเฉพาะ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตเสมอในการดูแลและบำรุงรักษา
อายุการใช้งานของหมวกนิรภัยอาจแตกต่างกันไปตามการใช้งาน สภาพแวดล้อม และประเภทของกิจกรรมที่ใช้ก่อนการใช้งานทุกครั้งจึงต้องตรวจสอบสภาพของหมวกนิรภัยก่อน เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันอันตราย
สีหมวกนิรภัย
สีของหมวกนิรภัยในปัจจุบันมีให้เห็นหลากหลายสี ซึ่งแต่ละสีที่ใช้มักจะสื่อความหมายของตำแหน่ง หน้าที่ ในการทำงานของสถานที่นั้นๆ ซึ่งไม่ได้มีมาตรฐานกำหนดที่ตายตัว แต่ที่นิยมใช้กันมีดังต่อไปนี้
- สีขาว เป็นสีที่ใช้สำหรับผู้บริหาร ผู้จัดการ วิศวกร สถาปนิก หัวหน้างาน หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง
- สีเหลือง เป็นสีที่ใช้สำหรับพนักงานทั่วไป ผู้ใช้แรงงาน
- สีแดง เป็นสีที่ใช้สำหรับพนักงานดับเพลิง
- สีส้ม เป็นสีที่ใช้สำหรับช่างเชื่อม บุคคลที่ต้องทำงานเกี่ยวกับความร้อน
- สีเขียว เป็นสีที่ใช้สำหรับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน
- สีน้ำเงิน เป็นสีที่ใช้สำหรับช่างไม้ ช่างไฟฟ้า ช่างเทคนิค
- สีฟ้า เป็นสีที่ใช้สำหรับช่างประปา
นอกจากนี้ยังมีหมวกนิรภัยสีอื่นๆ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละสถานที่ แต่ที่สำคัญในการเลือกใช้งานหมวกนิรภัยต้องได้รับมาตรฐานถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งอาจจะเป็นมาตรฐาน มอก. หรือมาตรฐานต่างประเทศก็ได้ แต่ต่องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะของการใช้งาน
สรุป
หมวกนิรภัย เป็นอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล ที่ใช้สวมใส่เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับศีรษะ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในการเลือกใช้งานต้องเลือกตามมาตรฐานที่กำหนด และมีขนาดพอดีกับผู้สวมใส่ เมื่อมีการใช้งานต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อให้อุปกรณ์สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ